กำเนิดเจ้าตัวน้อย
อาการเตือนก่อนการคลอด
1. อาการเตือนก่อนคลอดแต่ยังไม่ต้องไปโรงพยาบาล
1.1 ท้องลด มักเกิดในท้องแรกก่อนกำหนดคลอดประมาณ 3-4 สัปดาห์ เนื่องจากศีรษะเด็กเคลื่อนลงต่ำเข้าไปในช่วงเชิงกราน คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกแข็งตัวบ่อยมากกว่าปกติ แต่จะแข็งเป็นครั้งๆไม่ต่อเนื่องกัน ประมาณ 5-6 ครั้ง ทำให้บางครั้งก้าวขาลำบากและมีความรู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย
1.2 เจ็บเตือน ในช่วงนี้คุณแม่จะมีอาการปวดถ่วงบริเวณหัวหน่าว บางครั้งเจ็บร้าวลงมาที่หน้าขา รู้สึกเจ็บเสียดๆ และมดลูกมีการแข็งตัวบ่อยขึ้น ติดกันเป็นพักๆสัก 4-5 ครั้งแล้วหายไปเอง ไม่เจ็บมากขึ้นหรือถี่ขึ้นเหมือนการเจ็บคลอดจริง การเจ็บเตือนนี้มักเป็นในตอนกลางคืนแต่พอถึงเช้าก็หายไปเอง ปกติแล้วการเจ็บเตือนจะเกิดขึ้นก่อนการเจ็บครรภ์จริงประมาณ 1 สัปดาห์ อาการเจ็บที่แสดงออกมานั้นจะไม่เท่ากัน แล้วแต่ธรรมชาติและพื้นฐานการเรียนรู้ของแต่ละคน
2.อาการแสดงว่าจะคลอดและต้องไปโรงพยาบาล
2.1 ปวดท้อง เริ่มแรกจะมีอาการคล้ายการปวดประจำเดือน อาจพร้อมกับอาการปวดหลังนานครั้งละ 20-30 นาที และเกิดขึ้นทุก 10-15 นาที แต่ต่อไปจะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆนานมากขึ้นจนถึงครั้งละประมาณ 45-60 นาที และถี่ขึ้นทุก 3-5 นาที เมื่อใกล้คลอดมักจะเจ็บที่ส่วนบนของมดลูกก่อนแล้วค่อยๆเจ็บร้าวลงไปข้างล่าง ถ้าลุกเดินจะเจ็บมาก
2.2 มีมูกเลือดทางช่องคลอด แสดงว่าปากมดลูกเริ่มเปิดแล้ว และส่วนมากจะเจ็บครรภ์ภายใน 24-48 ชั่วโมง
2.3 น้ำเดิน เนื่องจากถุงน้ำคร่ำแตก ซึ่งอาจเกิดก่อนเจ็บครรภ์หรือภายหลังก็ได้ บางครั้งอยู่ดีๆก็มีน้ำไหลพรวดออกมาจนเปียกไปหมดก็ได้ เมื่อมีอาการบ่งบอกแน่ใจแล้วว่านำจะมีการคลอดเกิดขึ้นในไม่ช้า ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลในทันที
2.4 เมื่อมาถึงห้องคลอด คุณพยาบาลประจำห้องก็จะให้คุณแม่เปลี่ยนเสื้อผ้า และควรถอดของมีค่าฝากสามีไว้เพื่อป้องกันการสูญหาย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคุณแม่ก็จะได้รับการตรวจวัดความดัน ชีพจร วัดอุณหภูมิร่างกาย ชั่งน้ำหนัก ตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพของลูกในครรภ์ อัตราการเต้นของหัวใจ ท่านอนของลูก ตรวจส่วนนำดูดอีกครั้งว่าเอหัวลงหรือเปล่า
2.5 คุณแม่จะได้รับการทำความสะอาดและโกนขนที่อวัยวะสืบพันธ์ภายนอกด้วย เพื่อความสะดวกในการทำคลอดและเย็บแผล นอกจากนั้นคุณแม่ต้องสวนอุจจาระให้ถ่ายออกมาจนหมด เพราะตอนเบ่งคุณแม่จะรู้สึกเหมือนอยากถ่ายอุจจาระมากและมักมีอุจจาระออกมาพร้อมๆกับทารกเสมอ ทำให้เลอะเทอะได้
3.การคลอด
หมายถึง การที่ร่างกายขับเอาเด็ก น้ำคร่ำ เยื่อหุ้มเด็กและรกออกจากร่างกาย และการที่ร่างกายจะขับเอาทารกออกมาจากโพรงมดลูกได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยแรงดันจากกล้ามเนื้อหน้าท้อง และแรงบีบตัวของมดลูกซึ่งแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกนี้จะทำให้เกิดความเจ็บปวด ที่เราเรียกว่า เจ็บท้องคลอด โดยธรรมชาติแล้วการเจ็บท้องคลอด จะเจ็บไม่เกิน 2 นาที เพียงหายใจลึกๆ ช้าๆ 10 กว่าครั้งก็จะผ่านพ้นความเจ็บปวดไปได้ ทุกครั้งที่มีการหดรัดตัวของมดลูกตัวทารกก็จะถูกผลักดันลงสู่เบื้องล่าง เพื่อให้ส่วนนำซึ่งอาจจะเป็นศีรษะหรือก้นลงมาขยายปากมดลูกและ/หรือช่องคลอดให้ค่อยๆ ขยายออก
การคลอดแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
3.1 ระยะที่ 1 เป็นระยะที่เริ่มเจ็บครรภ์ โดยปกติแล้วปากมดลูกจะขยายกว้างขึ้นชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร กินเวลาประมาณ 8-12 ชั่วโมง ในท้องแรก และชั่วโมงละ 1.5 เซนติเมตร ประมาณ 6-8 ชั่วโมงในท้องสอง จนกระทั่งปากมดลูกเปิดหมดประมาณ 10 เซนติเมตร
3.2 ระยะที่ 2 เป็นระยะเบ่ง เมื่อปากมดลูกเปิด ศีรษะของเด็กก็จะผ่านปากมดลูกออกมา ตุงอยู่ในช่องคลอด คุณแม่จะมีอาการปวดถ่วงลงมาที่ก้น รู้สึกเหมือนอยากถ่ายอุจจาระนี้เรียกว่า มีลมเบ่ง ยิ่งคุณแม่นอนแยกขาออกกว้างมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้สามารถคลอดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้คุณแม่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จนกระทั่งทารกคลอดด้วย ซึ่งในระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในท้องแรก และ 1 ชั่วโมงในท้องหลัง
การเบ่งที่ถูกวิธี ต้องทำตามลำดับดังนี้
ก. ระหว่างที่มดลูกบีบรัดตัวคุณแม่จะมีลมเบ่ง ให้สูดหายใจเข้ายาวๆ ลึกๆเต็มที่ แล้วกลั้นหายใจไว้
ข. ก้มหน้าลงให้คางชิดอก โน้มตัวไปข้างหน้า ออกแรงเบ่งให้แรงเบ่งทั้งหมดลงไปทางปากช่องคลอด ขณะที่เบ่งก็ควรเบ่งยาวๆ ให้ยาวที่สุดเท่าที่เบ่งได้ ซึ่งการเบ่งแต่ละครั้งทารกจะเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆทีละนิดหากรู้สึกหมดลมเบ่งก่อนแต่มดลูกยังดคงแข็งตัวอยู่ ก็ให้หยุดเบ่งชั่วขณะ แล้วสูดหายใจเข้าไปใหม่สั้นๆ เร็วๆ แล้วเบ่งต่อจนมดลูกคลายตัว
ค. ในช่วงที่เบ่งคุณแม่ต้องหุบปากให้สนิท อย่าให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาทางปาก เพราะหากเบ่งไป อ้าปากไป ร้องไปก็จะไม่มีลมเบ่ง
ง. เมื่อมดลูกคลายตัวแล้วคุณแม่ควรหายใจยาวๆ ผ่อนคลายให้สบาย พยายามเก็บพลังไว้สำหรับการเบ่งครั้งต่อไป
จ. ขณะที่เบ่งคุณแม่ควรแยกขาออกให้มาก ตั้งตัวให้ตรง ช้อนก้นขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่กระดูกหัวหน่าวจะได้ยกขึ้นพ้นจากแนวการเคลื่อนตัว ของหัวทารก ที่สำคัญในระหว่างการคลอดคุณแม่ต้องตั้งสติให้ดี เพราะการเอะอะโวยวายจะทำให้อะไรมันยากขึ้นเสมอ
ฉ. เมื่อเบ่งจนหัวของลูกโผล่ออกมาจนหมดแล้ว ให้หยุดเบ่ง หายใจยาวๆ ในช่วงนี้คุณหมอก็จะใช้ลูกยางดูดน้ำคร่ำและเมือกต่างๆ ออกจากปากและจมูกของทารกเสร็จแล้วก็จะช่วยทำคลอดไหล่ ในจังหวะนี้บางทีคุณหมออาจให้คุณแม่ออกแรงเบ่งอีกทีก็ได้
**สิ่งผิดพลาดที่พบได้บ่อยๆ ก็คือ การที่คุณแม่เกิดความกลัว-เกร็ง-เจ็บ กลัวว่าจะคลอดไม่ได้ เมื่อกลัวก็จะทำให้คุณแม่เกร็งกล้ามเนื้อต่างๆภายในอุ้งเชิงกราน ทำให้ทารกคลอดผ่านออกมาได้ยากขึ้น ดังนั้น ยิ่งกลัวยิ่งเกร็งก็จะยิ่งเจ็บ เป็นวงจรไม่สิ้นสุด
ข้อผิดพลาดอีกประการคือ “เบ่งไม่เป็น” โดยเฉพาะในคุณแม่ท้องแรก การเบ่งไม่ถูกวิธีจะทำให้เสียแรงและเหนื่อยเปล่า
3.3 ระยะที่ 3 เป็นวินาทีที่ความเป็นแม่ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงลูกร้องเป็นครั้งแรก สีหน้าของคุณแม่ทุกคนก็เปี่ยมล้นไปด้วยความดีใจ สุขใจ ภูมิใจในสิ่งที่เราได้สร้างออกมาด้วยตัวเอง หลังจากคลอดแล้วกุมารแพทย์ก็จะช่วยดูแลทารกต่อโดยการดูดน้ำคร่ำ และน้ำเมือกออกจากปาก คอของทารกให้หมด และในระหว่างนี้คุณหมอก็จะทำคลอดรก ซึ่งจะรู้สึกอึดอัดบ้างตอนที่คุณหมอกดที่ท้องน้อยเพื่อให้รกลอกตัว เมื่อรกคลอดแล้วคุณหมอก็จะเย็บแผลให้เข้าที่เหมือนเดิม ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะเย็บแผลด้วยไหมละลายซึ่งจะดีที่ว่าไม่ต้องเสียเวลากลับมาให้คุณหมอตัดไหมอีกที
เมื่อการคลอดมีปัญหา
ในระหว่างการคลอดสำหรับคุณแม่บางคนอาจพบภาวะผิดปกติ เช่น ทารกอาจมีภาวะขาดออกซิเจน หัวใจเต้นช้าลงกว่าปกติ หรือคุณแม่ออกแรงเบ่งเท่าไรก็ยังไม่ออกเสียที เมื่อการคลอดมีปัญหา วิธีการคลอดที่นอกเหนือจากการเบ่งท้องคลอดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
1. การผ่าตัดทางหน้าท้อง ใช้ในบางกรณี เช่น รกเกาะต่ำ มีเลือดออกมาก เชิงกรานคุณแม่มีขนาดเล็กเกินไป ปากมดลูกไม่ขยายกว้างขึ้นมากกว่าเดิม หรือเจ้าตัวน้อยมีขนาดใหญ่เกินไปจนออกไม่ได้ หรืออยู่ในท่าที่ผิดปกติ เช่นท่าขวาง ซึ่งข้อเสียของการผ่าท้องคลอดมีมากมาย เช่น ผ่าท้องคลอดในขณะที่ทารกยังไม่ครบกำหนดคลอด ปอดของทารกอาจจะทำงานไม่สมบูรณ์ หรือผ่าท้องแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกไม่หยุด เป็นต้น วันรุ่งขึ้นหลังการผ่าท้อง คุณแม่ควรจะลุกเดินไปมาภายในห้องพักบ้าง ทั้งนี้เพื่อให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น และป้องกันการเกิดพังผืดในบริเวณช่องท้องน้อยที่อาจจะทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวไม่สะดวก และทำให้การผ่าตัดครั้งต่อไปลำบากขึ้นด้วย
2. การใช้เครื่องดูดสูญญากาศ หรือใช้คีมช่วยคลอด สำหรับคุณแม่บางคนซึ่งในระหว่างการคลอดพบภาวะผิดปกติ เช่น ทารกอาจมีภาวะขาดออกซิเจน หัวใจเต้นช้าลงกว่าปกติอันจะเกิดอันตรายได้ หรือคุณแม่ออกแรงเบ่งเท่าไรทารกก็ยังไม่ออกเสียที ในกรณีนี้ก็จะช่วยให้คุณแม่คลอดได้เร็วขึ้น แต่บริเวณศีรษะหรือใบหน้าของทารกอาจมีร่องรอยของการใช้เครื่องมืออยู่ เช่น ใบหน้าทารกมีรอยแดงรูปคีม หรือศีรษะนูน บวมและแดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหมอด้วย
3. การวางยาสลบ หรือฉีดยาชาเข้าที่น้ำไขสันหลัง จะทำให้คุณแม่ไม่มีความเจ็บปวดตั้งแต่บริเวณสะดือลงไป ดังนั้น ขณะเบ่งท้องคลอดแม้ว่าคุณจะรู้ตัวแต่ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณหน้าท้องจนถึงปลายเท้าเลย การฉีดยาชาเข้าน้ำไขสันหลังมีความเสี่ยงบ้าง เพราะยาชาอาจจะทำให้คุณหยุดหายใจได้หากหมอไม่มีความชำนาญพอ การคลอดโดยวิธีธรรมชาติจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
ลักษณะทารกแรกเกิด
ร่างกายของทารกแรกเกิด ตัวจะเล็กๆน่าเอ็นดู ศีรษะโตเมื่อเทียบกับลำตัว หน้ากลม คอสั้น แขนขาสั้นเมื่อเทียบกับร่างผู้ใหญ่
รูปร่างทารกเมื่อแรกเกิดจะคล้ายกัน เมื่อโตขึ้นจึงจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามพันธุกรรม
บริเวณศีรษะของลูกที่คลำดูนิ่มๆนั้น เป็นเพราะกระดูกกะโหลกศีรษะยังประสานกันไม่หมด ส่วนที่ยังเปิดอยู่นั้นเรียกว่า กระหม่อมหน้า กะโหลกส่วนนี้จะค่อยๆปิดสนิทเมื่อลูกอายุประมาณ 1 ขวบ เส้นผมของลูก แรกๆก็ไม่สามารถบอกลักษณะตอนโตได้เช่นกัน บางคนเกิดมาผมทั้งดกทั้งดำสนิท ในขณะที่อีกคนผมน้อยจนนับเส้นได้ แต่พอโตขึ้นมาอาจตรงกันข้ามเลยก็ได้
อวัยวะเพศชาย ลูกชายจะมีอัณฑะ (ไข่) อยู่ในถุงอัณฑะ แต่ทารกบางคนเมื่อแรกเกิดอาจจะเห็นแค่ข้างเดียว ซึ่งอีกข้างหนึ่งจะตามลงมาภายหลัง บริเวณปลายอวัยวะเพศมักจะปิดในตอนแรก แต่ก็จะเปิดได้เอง
อวัยวะเพศหญิง เมื่อแรกเกิด บริเวณอวัยวะเพศหญิงอาจมีสีคล้ำ และบวมเล็กน้อย ทารกบางคนมีมูกขางคล้ายตกขาว หรือมีเลือดออกมาคล้ายประจำเดือน แต่ไม่ต้องตกใจเป็นผลเนื่องจากฮอร์โมนของแม่ที่ผ่านทางสายรก อาการเหล่านี้จะหายเองภายใน1-2 สัปดาห์
สายสะดือ หลังคลอดสายสะดือจะค่อยๆเหี่ยวแห้ง และหลุดไปภายในสัปดาห์แรก แต่บางคนก็นานกว่านั้น คุณแม่ควรใส่ใจรักษาความสะอาดตามที่คุณหมอแนะนำ ควรเปิดสะดือไว้ให้แห้ง จะสะอาดและหลุดง่าย ถ้าปิดไว้ตลอดจะทำให้ชื้นแฉะและสกปรก แต่ถ้าสะดือลูกมีเลือดซึมตลอดเวลา หรือมีหนอง มีกลิ่นเหม็น ต้องรับอุ้มไปหาหมอทันที เพราะสะดือเป็นแผลหากปล่อยทิ้งไว้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายลูกได้ง่าย
การนอน แรกๆ ลูกจะนอนเกือบตลอดเวลา วันหนึ่งๆจะนอนประมาณ 21 ชั่วโมง ตื่นบ้างในช่วงสั้นๆเพื่อขับถ่ายหรือหิวนม หิวน้ำ บางทีคุณแม่กลัวลูกจะไม่ได้กินนมตามเวลา อุตส่าห์ปลุกลูกที่กำลังหลับปุ๋ยขึ้นมาให้นม ความจริงปล่อยให้แกนอนเต็มที่ตามธรรมชาติดีกว่า เมื่อโตอีกหน่อยแกจะปรับเวลาใหม่ได้เอง
อุจจาระ “อึ” ใครว่าไม่สำคัญ โดยเฉพาะทารกแรกเกิดเพราะสามารถบอกภาวะสุขภาพของลูกได้เป็นอย่างดี วันแรกๆลูกจะถ่ายเป็นสีดำๆ เหนียวๆคล้ายกับยางมะตอย ชาวบ้านเรียกว่า “ขี้เทา” วันต่อๆมาสีจะจางลง พอวันที่ 3-4 จะเป็นลักษณะปกติคือมีสีเหลือง และดูเหลวเล็กน้อย ลูกที่กินนมแม่อึจะมีสีเหลืองทองทีเดียว แต่ถ้ากินนมผง จะเป็นก้อนแข็งกว่าเล็กน้อย ถ้าอุจจาระเหลวจนเป็นน้ำ มีการขับถ่ายมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรืออุจจาระเป็นมูกเลือดแม้เพียงครั้งเดียวก็เรียกว่า ท้องเสีย แต่ถ้าถ่ายอุจจาระแข็งมากเป็นเม็ดกระสุน ก็แสดงว่า ท้องผูก จำนวนการถ่ายอุจจาระไม่สำคัญเท่าลักษณะอุจจาระ เช่น ถ่ายทุกวัน แต่อุจจาระแข็งเป็นกระสุน ก็เรียกว่าท้องผูกตรงกันข้ามถ้าวันหนึ่งถ่ายหลายครั้งแต่อุจจาระมีสีเหลืองทองก็ไม่เรียกว่าท้องเสีย โดยเฉพาะเด็กที่ทานนมแม่มักจะถ่ายบ่อย เช่นวันละ12 ครั้ง คือดื่มนมเป็นต้องถ่าย อุจจาระเป็นเม็ดมะเขือปนน้ำมากหน่อย กลิ่นเปรี้ยวๆแต่ไม่ถึงกับเป็นน้ำ ก็เรียกว่า ถ่ายบ่อยแต่ไม่ถึงขั้นท้องเสีย
ลักษณะอุจจาระ (เอาไว้ค่อยเขียน)
การทำหมันถาวร
ฝ่ายหญิง มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับฝ่ายชาย คือการตัดท่อนำไข่ โดยการผูกด้ายที่ท่อนำไข่ ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว แล้วตัดท่อนำไข่ที่อยู่ระหว่างด้ายที่ผูกไว้โดยต้องตัดท่อนำไข่ทั้งด้านซ้ายและขวา ซึ่งฝ่ายหญิงอาจจะให้คุณหมอทำหมันในช่วงหลังคลอดทันที หรือในขณะผ่าท้องคลอดทางหน้าท้องได้
ฝ่ายชาย หมอจะผ่าเปิดบริเวณผิวหนังบริเวณส่วนบนของถุงอัณฑะยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร เพื่อหาท่อนำอสุจิ เมื่อพบแล้วหมอจะผูกรอบท่อนำอสุจิ 2 แห่งด้วยไหมละลายห่างกันประมาณ 1 นิ้ว แล้วตัดท่อนำอสุจิที่อยู่ระหว่างไหมที่ผูก หมอจะทำทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของถุงอัณฑะ หลังทำน้ำอสุจิก็จะไม่สามารถเดินทางสู่ปลายอวัยวะเพศชายได้ การทำหมันนี้จะไม่รบกวนการสร้างหรือการหลั่งฮอร์โมนของเพศชาย คือฮอร์โมนที่สร้างจากลูกอัณฑะจะถูกขับออกจากร่างกายทางกระแสเลือดตามปกติ ร่างกายจึงแข็งแรงเช่นเดิม
การคุมกำเนิด การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่นิยมใช้ ได้แก่
1.การคุมแบบธรรมชาติ เช่น การหลั่งภายนอก การนับวันตกไข่ การคุมแบบนี้มีความแน่นอนต่ำ และมีโอกาสตั้งครรภ์สูง
2.การกินยาคุม มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง โอกาสพลาดน้อย แต่ต้องกินยาทุกวัน ถ้าลืมกินติดต่อกันอาจจะเกิดการตั้งครรภ์ได้ บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียนได้ ในคุณแม่ที่อยู่ในระยะให้นมลูก ไม่แนะนำให้กินยาคุม เพราะจะทำให้ส่วนประกอบและปริมาณน้ำนมเปลี่ยนแปลงไป
3.ยาคุมแบบฉีด จะฉีดห่างกันทุก 3 เดือนมีประสิทธิภาพสูง และแม่สามารถให้นมลูกได้ตามปกติโดยไม่มีผลต่อสุขภาพและปริมาณน้ำนม แต่มีข้อเสียคือ ประจำเดือนจะมาไม่ค่อยปกติ
4.การใช้ถุงยางอนามัย มีประสิทธิภาพปานกลาง มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ถ้ามีการรั่วหรือแตกของถุงยาง หรือใช้ไม่ถูกวิธี และยางคนบอกว่าทำให้อารมณ์ทางเพศขาดตอนในขณะที่ต้องปลีกตัวออกมาใส่ถุงยางอนามัย
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระยะหลังคลอด
มดลูก
ในระยะหลังคลอดทันที มดลูกของคุณแม่จะเล็กลงคลำได้เป็นก้อนแข็งๆ กลมๆ ที่หน้าท้อง และจะบีบเกร็งเพื่อเป็นการห้ามเลือดไว้ไม่ให้เสียเลือดมาก จึงทำให้คุณแม่มีอาการปวดท้องน้อยคล้ายๆกับปวดประจำเดือนในระยะ 2-3 วันแรกหลังคลอด จากนั้นยอดของมดลูกก็จะอยู่ในระดับประมาณสะดือของคุณแม่ และจะเล็กลงประมาณวันละ 1 นิ้วลงมาเรื่อยๆ จนเข้าไปอยู่ภายในอุ้งเชิงกราน ไม่สามารถคลำได้ทางหน้าท้องในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และเล็กลงจนเท่าขนาดปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ภายใน 4 สัปดาห์ ในท้องที่สองและสามคุณแม่อาจจะมีอาการปวดมดลูกมากกว่าท้องแรกโดยเฉพาะเวลาให้นมลูกน้อย เพราะการที่ลูกดูดนม แม่จะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนออกมาชนิดหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกรัดตัวมากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มดลูกก็จะเข้าอู่ได้เร็วขึ้น
น้ำคาวปลา
คือเลือดคล้ายประจำเดือนที่ไหลออกมาทางช่องคลอดในระยะหลังคลอด ซึ่งเลือดน้ำคาวปลานี้จะไหลออกมาจากผนังมดลูกตำแหน่งที่รกเคยเกาะอยู่ เมื่อรกลอกหลุดไปแล้ว เยื่อบุมดลูกก็จะลอกหลุดออกมาปะปนกับเลือดที่ซึมออกมา และจะค่อยๆจางลงในที่สุด ในช่วง 3 วันแรกน้ำคาวปลา จะมีสีแดงสดเหมือนสีเลือด จากนั้นก็จะจางลงกลายเป็นสีชมพูเรื่อๆ และหลังจาก 10 วันไปแล้วก็จะกลายเป็นมูกสีขาวๆ และมักหมดไปภายใน 14 วันหลังคลอด แต่สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดทางหน้าท้อง น้ำคาวปลาจะจางและหมดเร็วกว่าคุณแม่ที่คลอดปกติเนื่องจากคุณหมอจะเช็ดทำความสะอาด ระหว่างที่ทำการผ่าตัดแล้ว
แผลฝีเย็บ
ในระหว่างการคลอด คุณหมอจะช่วยตัดฝีเย็บให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อรอบๆปากช่องคลอดยืดขยายมากเกินไป หลังจากคลอดเสร็จคุณหมอก็จะเย็บแผลฝีเย็บกลับเข้าที่เดิมด้วยไหมละลาย
ในช่วงวันแรกหลังคลอด ถ้าแผลฝีเย็บมีอาการบวมและเจ็บมาก การใช้น้ำแข็งประคบจะช่วยบรรเทาอาการบวมและการเจ็บแผลได้ แต่ถ้าเลยวันแรกไปแล้วก็มักจะอบแผลด้วยความร้อนเพื่อลดอาการบวม และถ้าคุณแม่มีอาการเจ็บแผลอยู่ก็ให้รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2 เม็ดก็จะช่วยบรรเทาปวดได้ อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บที่ฝีเย็บมักจะหายภายใน 7 วันหลังคลอดและหายสนิทภายในเวลา 3 สัปดาห์หลังคลอดคุณแม่จึงควรเช็ดทำความสะอาดแผลฝีเย็บ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาด โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ จากนั้นก็ควรซับให้แห้งทุกครั้ง อย่าปล่อยให้เฉอะแฉะอับชื้นซึ่งจะทำให้มีเชื้อโรคเกิดสะสมได้ ช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ระหว่างการตั้งครรภ์ผนังช่องคลอด จะเรียบแบนไม่เหมือนในภาวะปกติ
ในระยะหลังคลอด ช่องคลอดก็จะค่อยๆกลับคืนสู่สภาพปกติคือมีรอยพับย่นตามธรรมชาติ ภายใน 3 สัปดาห์ นอกจากนั้นแล้วช่องคลอดก็จะมีขนาดโตขึ้น จากปกติมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร แต่หลังจากคลอดแล้วช่องคลอดจะมี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร กล้ามเนื้อต่างๆภายในอุ้งเชิงกรานก็จะยืดขยายออกด้วยเช่นกัน บางคนอาจเรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า “กระบังลมหย่อน”
ดังนั้น คุณแม่ควรออกกำลังกายโดยการขมิบก้น (Squeeze Exercise) ทำวันละ 20-30 ครั้งหลังคลอด คุณแม่ที่บริหารช่องคลอดหรือกระบังลมสม่ำเสมอช่องคลอดจะกลับมากระชับแข็งแรงเหมือนปกติภายในเวลา 3 เดือน ส่วนคุณแม่ที่ไม่ได้บริหารอย่างเต็มที่ อาจทำให้มีอาการกระบังลมหย่อน มีปัสสาวะเล็ดเวลาไอหรือจาม บางคนมีอาการปวดท้องน้อยบ่อยๆเวลายกของหนัก เนื่องจากแรงเบ่งในช่องท้องจะดันมดลูกให้เลื่อนต่ำลง ผ่านมาทางช่องกระบังลมทำให้เกิดการตึงเจ็บที่ปีกมดลูกทั้งสองข้างได้
หน้าท้อง
เนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเรื่อยๆในระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้ผิวหนังหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดขยายออก และคุณแม่บางคน ไม่ระวังเรื่องอาหารและการควบคุมน้ำหนัก ทำให้มีการสะสมไขมันส่วนเกินไว้ที่หน้าท้องมากขึ้นเรื่อยๆ
ในระยะหลังคลอดหน้าท้องจึงทั้งหย่อนทั้งหนาจนน่าหนักใจ จึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้หน้าท้องของคุณแม่บางคน จะมีสีคล้ำดำขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากผลของฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะหลังคลอดผิวหนังชุดเดิมที่มีสีคล้ำก็จะค่อยๆลอกหลุดออกเป็นขี้ไคลภายใน 3-4 เดือน ผิวหนังชุดใหม่ก็จะสร้างขึ้นทดแทนเรื่อยๆตามธรรมชาติ และมีสีเหมือนปกติ ถ้าให้เวลาแก่ร่างกายสักหน่อยก็ไม่ต้องเสียเวลาไปขัดผิว อบตัวให้เสียเงินเสียทองหรอกคะ
แผลผ่าตัด
การผ่าตัดออกทางหน้าท้อง จะมีรอยผ่าตัดยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตรที่บริเวณหน้าท้องส่วนล่าง โดยปกติแผลผ่าตัดจะแห้งและติดสนิท ในเวลาประมาณ 7-10 วัน หลังจากนั้นคุณแม่ก็สามารถอาบน้ำได้ หลังอาบน้ำควรเช็ดบริเวณแผลให้แห้ง โดยใช้แอลกอฮอร์เช็ดทำความสะอาด และควรหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงในประเภทบิกินีตัวเล็กๆ เพราะขอบยางยืดของกางเกงในจะเสียดสีที่รอยแผล ทำให้แผลนูนแข็งได้ หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงยีนส์เพราะซิปตรงกลางจะกดเสียดสีกับแผลบ่อยๆทำให้ตรงกลางนูนขึ้นดูไม่สวย คุณแม่จึงควรสวมเสื้อผ้าสบายๆจะดีกว่า
กระเพาะปัสสาวะ
ในระยะหลังคลอดใหม่ๆ กระเพาะปัสสาวะจะมีอาการบอบช้ำจากการคลอดได้ง่าย ความรู้สึกอยากปัสสาวะก็ลดลงไปด้วย ในช่วงนี้คุณแม่จะมีอาการปัสสาวะไม่ค่อยออก หรือปัสสาวะแล้วออกไม่หมดทำให้ต้องไปปัสสาวะบ่อยๆ แต่ก็ไม่ควรอั้นปัสสาวะไว้เพราะจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่าย หรือคุณแม่บางคนอาจมีอาการไอ จามแล้วปัสสาวะเล็ดได้เนื่องจากปากช่องคลอดยืดขยายอย่างมากในระหว่างคลอด แต่อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นใน 3 เดือน หากคุณแม่มีการบริหารช่องคลอดและกระบังลมอย่างถูกต้อง
การปฏิบัติตัวในระยะหลังคลอด
1.หลังคลอดคุณหมอมักจะนำลูกน้อยมาให้คุณแม่โอบกอด และอาจจะให้ลูกดูดนมแม่ จากอก เพื่อเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ของความเป็นแม่และยังช่วยกระตุ้นให้น้ำนมไหลได้เร็งขึ้นด้วย
2.หลังจากเย็บแผลฝีเย็บแล้ว คุณแม่จะได้นอนพักเหนื่อยอยู่ในห้องคลอดประมาณ 1-2ชั่วโมง โดยจะมีคุณพยาบาลเข้ามาวัดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจและดูว่าเลือดออกทางช่องคลอดมากเกินไปหรือเปล่า มดลูกแข็งตัวดีไหม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีก็จะย้ายคุณแม่กลับเข้าห้องพัก คุณพ่อและญาติๆทั้งหลายก็ยังไม่ควรไปเยี่ยมหรือรบกวนมากในช่วงนี้ ปล่อยให้คุณแม่ได้นอนพักสบายๆสัก 4-6 ชั่วโมงจะดีกว่า
3.เมื่อคุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว คุณแม่ควรใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยลองหัดเลี้ยงดูลูกบ่อยๆ เรียนรู้เทคนิคต่างๆจากคุณพยาบาลที่จะคอยสอนให้ เรียนรู้การให้นมลูก การอุ้มให้เรอ การดูแลทำความสะอาดก้น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การอาบน้ำ หัดทำให้คล่องคุณแม่ก็จะมีความมั่นใจเมื่อต้องกลับไปดูแลลูกน้อยด้วยตัวเองที่บ้าน อย่าลืมให้คุณพ่อหัดช่วยดูแลลูกน้อยไปพร้อมๆกันด้วย เพื่อคุณพ่อจะได้มีส่วนร่วมในการดูแลลูกด้วย เป็นการสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การใช้ยาในช่วงหลังคลอด
โดยปกติ คุณหมอจะให้รับประทานยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด และยาบำรุงเท่านั้น
ในระยะหลังคลอดคุณแม่ควรรับประทานอย่างเคร่งครัดต่อเนื่องจนหมด ส่วนยาวิตามิน ธาตุเหล็กก็ควรรับประมาณต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน เพื่อช่วยเสริมสร้างทดแทนเลือดที่เสียไปในระหว่างการคลอดและช่วยฟื้นฟูสภาพของร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างสมบูรณ์ แข็งแรง สำหรับคุณแม่บางคนที่มีอาการท้องผูกในช่วงหลังคลอด ซึ่งอาจเกิดจากเจ็บแผลฝีเย็บ เลยไม่กล้าเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ หรือจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอก็ได้ ดังนั้นในระยะหลังคลอดคุณแม่ก็ควรดื่มน้ำให้มาก รับประทานผักสด ผลไม้ อาหารมีกากให้เพียงพอที่สำคัญ ห้ามซื้อยาถ่าย ยาระบายมารับประทานเอง เพราะยาบางประเภทอาจหลั่งออกมาทางน้ำนม ทำให้ลูกที่ทานนมแม่มีอาการท้องเสียได้ ในระยะหลังคลอดที่ลูกทานนมแม่ คุณแม่ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้ยาด้วยพึงระลึกไว้เสมอว่า แม่ทานยาอะไรลูกก็เหมือนทานยานั้นด้วย
ระยะหลังคลอดที่บ้าน การดูแลสุขภาพโดยทั่วไปของคุณแม่ก็เป็นเรื่องสำคัญ คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าครบถ้วนแต่ก็ควรหลีก เลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้งและของหวาน เพราะจะทำให้ยิ่งอ้วนขึ้นกว่าเก่า อาหารที่ดีในระยะหลังคลอดควรเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง ผักสด ผลไม้ต่างๆ และควรดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ การอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอย่างน้อยวันละ2 ครั้ง ก็จะช่วยทำให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นกระปี้กระเปร่าขึ้น นอกจากนั้นหลังจากทำงานบ้าน ทำครัวแล้วก่อนจะจับอุ้มลูกน้อยก็ควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้งด้วย
การดูแลสุขภาพหลังการคลอด
1. เมื่อคุณแม่เริ่มแข็งแรงพอ การออกกำลังกายโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องซึ่งเป็นแหล่งสะสมไขมันไว้มากที่สุด ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งกระทำได้โดยการ SIT UP 30-50 ครั้งเป็นประจำทุกวัน และบริหารช่องคลอดโดยการขมิบทวารหนักวันละหลายๆครั้ง
2. ในคุณแม่ที่ยังไม่เคยไดรับการฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ควรทำการฉีดก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป
3. หลังคลอดคุณแม่ทุกคนต้องได้รับการตรวจฟัน ตรวจร่างกาย และตรวจภายใน ตรวจช่องคลอด ปากมดลูกและรังไข่ รวมทั้งการคุมกำเนิดเมื่อครบ 6 สัปดาห์หลังคลอด
4. คุณแม่ควรได้รับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันโรคที่ไม่มีอาการให้เห็น เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งในรังไข่ เป็นต้น
อาหารของคุณแม่ในช่วงให้นมลูก
คุณแม่จะต้องการพลังงานและสารอาหารมากกว่าปกติ ในแต่ละวันของคุณแม่ที่ให้นมลูกจะผลิตน้ำนมออกมาประมาณวันละ 20-30 ออนซ์ ดังนั้น อาหารที่คุณแม่ควรรับประทานในแต่ละวันควรเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และอาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารประเภทย่อยง่าย รสไม่จัด มีกากมาก โดยเฉพาะผักใบเขียว พืชที่มีสีเหลือง ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทติดมัน แป้ง น้ำตาล น้ำอัดลม อาหารที่มีรสหวานจัด (อาหารที่ทานแล้วทำให้อ้วนทุกชนิด) ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอและทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบานไม่เครียด เพียงเท่านี้คุณแม่ก็จะมีน้ำนมมากพอต่อความต้องการของลูกรักอย่างแน่นอน
|